ปัจจุบัน "คอนโดมิเนียม" เป็นอสังหาริมทรัพย์ยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย
ซึ่งคอนโดฯ ในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล แม้กระทั่งในต่างหวัด ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้า ถนนสายหลัก ส่วนในต่างจังหวัดจะเป็นหัวเมืองเศรษฐกิจสำคัญๆ
ของไทย อาทิเช่น เชียงราย ลำปาง อุดรธานี ขอนแก่น
บุรีรัมย์ พิษณุโลก นครศรีธรรมราช เป็นต้น
ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยได้รับความสนใจจากผู้คนมากมาย ทั้งซื้อไว้เพื่ออยู่ เพื่อลงทุนปล่อยเช่า
หรือขายต่อ ดังนั้นสำหรับใครที่กำลังวางแผนจะซื้อคอนโดฯ สักห้อง
ควรเตรียมตัวเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ
1.เงินจอง: จำนวนเงินจองเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับราคาคอนโดฯ และเงื่อนไขที่โครงการกำหนด
โดยส่วนใหญ่เงินจองจะประมาณหลักพันไปจนถึงหลักหมื่น
2.เงินทำสัญญา: หลังจากได้ทำการจองไปแล้ว ภายใน 7-14 วันทางเจ้าของโครงการจะกำหนดวันทำ
"สัญญาจะซื้อจะขาย" ซึ่งเงินทำสัญญาปกติจะก้อนใหญ่กว่าเงินจอง
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับราคาคอนโดฯ เช่นกัน มีทั้งหลักหมื่นและหลักแสน
3.เงินดาวน์ : (แบ่งจ่ายเป็นงวดๆ)
เนื่องจากแบงก์ชาติ (ธนาคารแห่งประเทศไทย)
กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อคอนโดฯ ได้ในสัดส่วน LTV (
Loan to Value Ratio) ไม่เกิน 90%
ของมูลค่าหลักประกัน ซึ่งก็คือตัวคอนโด
ดังนั้นผู้ซื้อจะต้องดาวน์ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 10%
ของราคาซื้อขาย (รวมเงินจองและเงินทำสัญญา)
4.ค่าประเมินราคาห้องชุด : โดยจ่ายในวันที่ไปทำเรื่องยื่นกู้ให้กับธนาคารที่เรายื่นกู้ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่
2,000-3,000 บาท ต่อการประเมินหนึ่งครั้ง
ยิ่งยื่นกู้หลายธนาคารก็ต้องจ่ายมาก ค่าประเมินที่ได้จ่ายไปแล้ว
ถ้ากรณีที่กู้ไม่ผ่านหรือไม่ได้รับอนุมัติเงินกู้ก็ไม่มีการคืนเงิน
5.ค่าจดทะเบียนจำนอง: จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ อัตราปกติคิด 1% ของมูลค่าที่จดจำนอง
โดยต้องชำระให้สำนักงานที่ดิน เหตุผลที่ต้องเสียค่าจดทะเบียนจำนองเพื่อเอาคอนโดฯ
เป็นประกันหนี้ให้กับธนาคาร
6.ค่าธรรมเนียมการโอน : จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์เช่นกัน อัตราปกติคิด 2%
ของราคาประเมินกรมที่ดิน ซึ่งทางกฏหมายกำหนดให้ต้องจดทะเบียนกับสำนักงานที่ดิน
มิฉะนั้นจะเป็นโมฆะ โดยส่วนใหญ่ผู้ซื้อและผู้ขายจะออกกันคนละ 50%
หรือแล้วแต่ตกลง
7.เงินกองทุนสำรองส่วนกลาง : เป็นเงินกองกลางที่นิติบุคคลอาคารชุดจะเรียกเก็บไว้เป็น "กองทุนสำรอง"
เพื่อใช้ในการบริหารจัดการโครงการในระยะยาว
โดยคิดตามขนาดพื้นที่ห้องชุดตามระดับราคาห้องชุด เช่น ห้องชุดมีพื้นที่ส่วนกลาง
หรือสิ่งอำนวยความสะดวกมาก อัตราเงินกองทุน จึงย่อมสูงตามลำดับ
8.ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย: (จ่ายเป็นปี
หรือแล้วแต่กำหนด) ถ้ากู้เงินมาจากธนาคาร โดยปกติธนาคารจะกำหนดให้ต้องทำประกันอัคคีภัยห้องชุดด้วย
โดยผู้ซื้อต้องรับภาระในการชำระเบี้ยประกัน และธนาคารจะเป็นผู้รับผลประโยชน์
หากเกิดอัคคีภัยบริษัทประกันภัยจะจ่ายเงินไปที่ธนาคารในฐานะผู้รับผลประโยชน์
เพื่อเอาเงินนี้ไปตัดหนี้กับเงินกู้ ซึ่งปกติมักจ่ายพร้อมกับเงินผ่อนชำระงวดแรก
และส่วนใหญ่จะเรียกเก็บ 3 ปีครั้ง
อัตราเบี้ยมาตรฐานกรมการประกันภัยกำหนดไว้
9.ค่าประกันมิเตอร์น้ำ-ไฟฟ้า : ปกติโครงการมักออกค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมิเตอร์น้ำ-ไฟฟ้าให้ก่อน
แล้วเรียกเก็บทีหลังตามอัตราที่การประปา-การไฟฟ้ากำหนด โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 2,000-4,000
บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของมิเตอร์ไฟฟ้า และเงื่อนไขของโครงการ
10.ค่าประกันภัยอาคาร: (จ่ายตามโครงการกำหนด)
หากนิติบุคคลอาคารชุดของคอนโดฯ
มีการทำประกันอัคคีภัยหรือประกันความเสียหายของทรัพย์สิน
เจ้าของห้องชุดก็ต้องร่วมจ่ายค่าประกันภัยนี้ด้วย โดยปกติคิดตามสัดส่วนพื้นที่ห้องชุด
เอกสารที่จำเป็นต้องใช้ในการซื้อคอนโด
1. นิติกรรมสัญญา
1.1 หนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย
เป็นรายละเอียดหลักฐานเกี่ยวกับการซื้อขายบ้าน
หรือห้องชุด ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ไม่ว่าจะเป็นราคา รายละเอียดของห้อง
เงินมัดจำ เป็นต้น โดยกำหนดว่าจะโอนที่ดิน ภายหลังจากวันที่ทำสัญญา
ซึ่งจะต้องเก็บฐานหนังสือดังกล่าวไว้ทั้งสองฝ่าย คนละ 1
ชุด เพื่อนำมาใช้เป็นเอกสารยื่นขอกู้สินเชื่อกับธนาคารต่อไป
1.2 หนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน (ท.ด. 13)
เอกสารสำคัญนี้ คือ ใบซื้อขายที่ดิน
ซึ่งเจ้าของเดิมได้ทำนิติกรรม ณ กรมที่ดิน ไว้แล้ว โดยกรณีซื้อขายบ้านมือสอง
จำเป็นต้องได้รับหนังสือดังกล่าว
เนื่องจากธนาคารจะขอสำเนาพร้อมกับสัญญาจะซื้อจะขาย ในวันขอสินเชื่อ
2. สำเนาบัตรประชาชน+ทะเบียนบ้าน
ผู้ชื้อ-ขาย
อีกถึงหลักฐานสำคัญ สำหรับผู้ที่ซื้อขายบ้านหรือห้องชุดมือสอง
เพราะหากเกิดปัญหาผิดพลาดทางเทคนิค สามารถเรียกร้องตามกฎหมายได้
3. สำเนาโฉนดบ้านหรือห้องชุด
เป็นสิ่งที่ต้องได้รับ ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขาย
เพื่อเป็นการยืนยันถึงการครอบครองกรรมสิทธิ์บ้านหรือห้องชุดนั้น โดยภายในสำเนาโฉนด
จะต้องบอกรายละเอียดขนาดพื้นที่ของบ้านหรือห้องชุดนั้นด้วย
4. เอกสารหลักฐานรายละเอียดการโอน
ถือว่าเป็นเอกสารยืนยันว่าได้รับการครอบครองบ้านหรือห้องชุดนั้นแล้ว
และเป็นอีกหนึ่งหลักฐานชิ้นสำคัญที่ควรเก็บไว้
5. ส่วนของสิทธิและนิติกรรม (ท.ด. 1)
หนังสือฉบับนี้ จะบอกรายละเอียดของโฉนดที่ดิน
และตำแหน่งที่ดิน ที่มีสิทธิและนิติกรรมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
6. บันทึกการประเมินราคาประเมินราคาทรัพย์สิน
(ท.ด.86) เป็นรายละเอียดบันทึกการประเมินราคาทรัพย์สินของห้องชุดและบ้าน
7. บันทึกถ้อยคำการชำระภาษีอากร (ท.ด.16)
เป็นสิ่งที่แสดงหลักฐานว่าผู้ขายอสังหาริมทรัพย์
นั้นได้เสียภาษีตามที่กรมสรรพากรกำหนดไว้แล้ว
8. ส่วนของหนังสือใบปลอดหนี้ ออกโดยนิติบุคคล
(กรณีของการซื้อขายห้องชุด) หนังสืออีกหนึ่งสิ่งที่ยืนยันว่า
ทางเจ้าของห้องชุดที่ขายต่อนั้น ไม่มีหนี้ค้างชำระค่าส่วนกลาง หรือเงินกองทุน
แต่อย่างใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น