วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560

ค่าใช้จ่ายและเอกสาร ที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียม

      
     


      ปัจจุบัน  "คอนโดมิเนียม"  เป็นอสังหาริมทรัพย์ยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย ซึ่งคอนโดฯ ในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล แม้กระทั่งในต่างหวัด ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้า ถนนสายหลัก ส่วนในต่างจังหวัดจะเป็นหัวเมืองเศรษฐกิจสำคัญๆ ของไทย อาทิเช่น  เชียงราย ลำปาง อุดรธานี ขอนแก่น บุรีรัมย์  พิษณุโลก นครศรีธรรมราช  เป็นต้น




      ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับความสนใจจากผู้คนมากมาย ทั้งซื้อไว้เพื่ออยู่ เพื่อลงทุนปล่อยเช่า หรือขายต่อ ดังนั้นสำหรับใครที่กำลังวางแผนจะซื้อคอนโดฯ สักห้อง ควรเตรียมตัวเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ

1.เงินจอง:  จำนวนเงินจองเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับราคาคอนโดฯ และเงื่อนไขที่โครงการกำหนด โดยส่วนใหญ่เงินจองจะประมาณหลักพันไปจนถึงหลักหมื่น 

2.เงินทำสัญญา:  หลังจากได้ทำการจองไปแล้ว ภายใน 7-14 วันทางเจ้าของโครงการจะกำหนดวันทำ "สัญญาจะซื้อจะขาย" ซึ่งเงินทำสัญญาปกติจะก้อนใหญ่กว่าเงินจอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับราคาคอนโดฯ เช่นกัน มีทั้งหลักหมื่นและหลักแสน

3.เงินดาวน์ : (แบ่งจ่ายเป็นงวดๆ) เนื่องจากแบงก์ชาติ (ธนาคารแห่งประเทศไทย) กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อคอนโดฯ ได้ในสัดส่วน LTV ( Loan to Value Ratio) ไม่เกิน 90% ของมูลค่าหลักประกัน ซึ่งก็คือตัวคอนโด ดังนั้นผู้ซื้อจะต้องดาวน์ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 10% ของราคาซื้อขาย (รวมเงินจองและเงินทำสัญญา)

4.ค่าประเมินราคาห้องชุด :  โดยจ่ายในวันที่ไปทำเรื่องยื่นกู้ให้กับธนาคารที่เรายื่นกู้ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 2,000-3,000 บาท ต่อการประเมินหนึ่งครั้ง ยิ่งยื่นกู้หลายธนาคารก็ต้องจ่ายมาก ค่าประเมินที่ได้จ่ายไปแล้ว ถ้ากรณีที่กู้ไม่ผ่านหรือไม่ได้รับอนุมัติเงินกู้ก็ไม่มีการคืนเงิน

5.ค่าจดทะเบียนจำนอง:  จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ อัตราปกติคิด 1% ของมูลค่าที่จดจำนอง โดยต้องชำระให้สำนักงานที่ดิน เหตุผลที่ต้องเสียค่าจดทะเบียนจำนองเพื่อเอาคอนโดฯ เป็นประกันหนี้ให้กับธนาคาร

6.ค่าธรรมเนียมการโอน : จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์เช่นกัน อัตราปกติคิด 2% ของราคาประเมินกรมที่ดิน ซึ่งทางกฏหมายกำหนดให้ต้องจดทะเบียนกับสำนักงานที่ดิน มิฉะนั้นจะเป็นโมฆะ โดยส่วนใหญ่ผู้ซื้อและผู้ขายจะออกกันคนละ 50% หรือแล้วแต่ตกลง

7.เงินกองทุนสำรองส่วนกลาง : เป็นเงินกองกลางที่นิติบุคคลอาคารชุดจะเรียกเก็บไว้เป็น "กองทุนสำรอง" เพื่อใช้ในการบริหารจัดการโครงการในระยะยาว โดยคิดตามขนาดพื้นที่ห้องชุดตามระดับราคาห้องชุด เช่น ห้องชุดมีพื้นที่ส่วนกลาง หรือสิ่งอำนวยความสะดวกมาก อัตราเงินกองทุน จึงย่อมสูงตามลำดับ

8.ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย: (จ่ายเป็นปี หรือแล้วแต่กำหนด) ถ้ากู้เงินมาจากธนาคาร โดยปกติธนาคารจะกำหนดให้ต้องทำประกันอัคคีภัยห้องชุดด้วย โดยผู้ซื้อต้องรับภาระในการชำระเบี้ยประกัน และธนาคารจะเป็นผู้รับผลประโยชน์ หากเกิดอัคคีภัยบริษัทประกันภัยจะจ่ายเงินไปที่ธนาคารในฐานะผู้รับผลประโยชน์ เพื่อเอาเงินนี้ไปตัดหนี้กับเงินกู้ ซึ่งปกติมักจ่ายพร้อมกับเงินผ่อนชำระงวดแรก และส่วนใหญ่จะเรียกเก็บ 3 ปีครั้ง อัตราเบี้ยมาตรฐานกรมการประกันภัยกำหนดไว้

9.ค่าประกันมิเตอร์น้ำ-ไฟฟ้า : ปกติโครงการมักออกค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมิเตอร์น้ำ-ไฟฟ้าให้ก่อน แล้วเรียกเก็บทีหลังตามอัตราที่การประปา-การไฟฟ้ากำหนด โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 2,000-4,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของมิเตอร์ไฟฟ้า และเงื่อนไขของโครงการ

10.ค่าประกันภัยอาคาร: (จ่ายตามโครงการกำหนด) หากนิติบุคคลอาคารชุดของคอนโดฯ มีการทำประกันอัคคีภัยหรือประกันความเสียหายของทรัพย์สิน เจ้าของห้องชุดก็ต้องร่วมจ่ายค่าประกันภัยนี้ด้วย โดยปกติคิดตามสัดส่วนพื้นที่ห้องชุด



เอกสารที่จำเป็นต้องใช้ในการซื้อคอนโด
1. นิติกรรมสัญญา
     1.1 หนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย
เป็นรายละเอียดหลักฐานเกี่ยวกับการซื้อขายบ้าน หรือห้องชุด ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ไม่ว่าจะเป็นราคา รายละเอียดของห้อง เงินมัดจำ เป็นต้น โดยกำหนดว่าจะโอนที่ดิน ภายหลังจากวันที่ทำสัญญา ซึ่งจะต้องเก็บฐานหนังสือดังกล่าวไว้ทั้งสองฝ่าย คนละ 1 ชุด เพื่อนำมาใช้เป็นเอกสารยื่นขอกู้สินเชื่อกับธนาคารต่อไป
    1.2 หนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน (ท.ด. 13)
เอกสารสำคัญนี้ คือ ใบซื้อขายที่ดิน ซึ่งเจ้าของเดิมได้ทำนิติกรรม ณ กรมที่ดิน ไว้แล้ว โดยกรณีซื้อขายบ้านมือสอง จำเป็นต้องได้รับหนังสือดังกล่าว เนื่องจากธนาคารจะขอสำเนาพร้อมกับสัญญาจะซื้อจะขาย ในวันขอสินเชื่อ

2. สำเนาบัตรประชาชน+ทะเบียนบ้าน ผู้ชื้อ-ขาย
      อีกถึงหลักฐานสำคัญ สำหรับผู้ที่ซื้อขายบ้านหรือห้องชุดมือสอง เพราะหากเกิดปัญหาผิดพลาดทางเทคนิค สามารถเรียกร้องตามกฎหมายได้

3. สำเนาโฉนดบ้านหรือห้องชุด
เป็นสิ่งที่ต้องได้รับ ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขาย เพื่อเป็นการยืนยันถึงการครอบครองกรรมสิทธิ์บ้านหรือห้องชุดนั้น โดยภายในสำเนาโฉนด จะต้องบอกรายละเอียดขนาดพื้นที่ของบ้านหรือห้องชุดนั้นด้วย

4. เอกสารหลักฐานรายละเอียดการโอน
ถือว่าเป็นเอกสารยืนยันว่าได้รับการครอบครองบ้านหรือห้องชุดนั้นแล้ว และเป็นอีกหนึ่งหลักฐานชิ้นสำคัญที่ควรเก็บไว้

5. ส่วนของสิทธิและนิติกรรม (ท.ด. 1)
หนังสือฉบับนี้ จะบอกรายละเอียดของโฉนดที่ดิน และตำแหน่งที่ดิน ที่มีสิทธิและนิติกรรมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

6. บันทึกการประเมินราคาประเมินราคาทรัพย์สิน (ท.ด.86) เป็นรายละเอียดบันทึกการประเมินราคาทรัพย์สินของห้องชุดและบ้าน

7. บันทึกถ้อยคำการชำระภาษีอากร (ท.ด.16)
เป็นสิ่งที่แสดงหลักฐานว่าผู้ขายอสังหาริมทรัพย์ นั้นได้เสียภาษีตามที่กรมสรรพากรกำหนดไว้แล้ว

8. ส่วนของหนังสือใบปลอดหนี้ ออกโดยนิติบุคคล (กรณีของการซื้อขายห้องชุด) หนังสืออีกหนึ่งสิ่งที่ยืนยันว่า ทางเจ้าของห้องชุดที่ขายต่อนั้น ไม่มีหนี้ค้างชำระค่าส่วนกลาง หรือเงินกองทุน แต่อย่างใด






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น